DHA-AA สูตรนมเด็กฉลาดจริงหรือหลอก ???

นมผสม หรือนมผงในท้องตลาดบ้านเรามีอยู่หลายชนิดหลากยี่ห้อ ที่ฮือฮาที่สุดในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมานี้คงไม่พ้นนมผสมที่มี DHA และ AA ซึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง เชื่อตามโฆษณาสนิทใจว่า สารอาหารดังกล่าวช่วยพัฒนาสมองและสายตาของทารก เป็นประโยชน์ต่อลูกตัวน้อยอย่างมาก และนั่นเป็นเรื่องจริง! แต่...ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้ คือ DHA และ AA ก็มีอยู่ใน “นมแม่” โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้มีอยู่ใน “นมวัว” ดังนั้น เพื่อให้รู้เท่าทันโฆษณาและสินค้า เราจึงควรทำความรู้จักกับ DHA และ AA ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย
ผศ.พ­.กุสุมา ชูศิลป์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายความหมายของ DHA และ AA ว่า DHA (Docosahexaenoic acid) และ AA (Arachindonic acid) หรือบางทีเรียกว่า ARA ทั้ง 2 ชนิดเป็นกรดไขมันอิ่มตัวชนิดสายโซ่ยาว (Long-chain Polyunsaturated Fatty Acid) โดย DHA เป็นกรดไขมันสายพันธุ์โอเมกา 3 และ AA เป็นสายพันธุ์โอเมกา 6 ช่วยในการพัฒนาด้านสายตาและสมองของทารก

 ทั้งนี้ สมองของทารกจะประกอบด้วย ไขมันร้อยละ 60 และร้อยละ 15-20 ของกรดไขมันเป็น DHA และ AA โดยที่ DHA กระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ประสาท สมอง และจอตา ส่วน AA กระจายอยู่ส่วนต่างๆ ในร่างกาย กระตุ้นการเจริ­เติบโต โดยเฉพาะในช่วง 2 ขวบปีแรกทารกมีความต้องการ DHA และ AA ในการพัฒนาการเจริ­ญเติบโตของร่างกาย และสมองเป็นอย่างมาก

แต่ในระยะเริ่มต้น 4-6 เดือนแรกน้ำย่อยไขมันของทารกยังไม่เพียงพอในการสังเคราะห์กรดไขมันโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ได้เต็มที่ จึงยังไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นเป็น DHA ได้พอ ดังนั้น ทารกจึงต้องได้รับ DHA และ AA จากน้ำนมแม่ ขณะเดียวกันก็สามารถรับสารเหล่านี้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป ดังนั้นในช่วงนี้แม่จึงต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในอาหารจำพวกปลาทะเลเท่านั้น แต่มีในปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี หรือปลาที่มีไขมันปานกลาง เช่น ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ด้วย

 ผศ.พ­.กุสุมา อธิบายต่อว่า สารอาหาร DHA และ AA ที่ได้จากนมแม่นั้นธรรมชาติจะมีการปรับปริมาณให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงวันเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อให้เข้าไปปรับสมดุลระบบภายในร่างกายของลูกได้อย่างทันท่วงที และทำให้เซลล์สมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของลูกพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ ที่สำคัญน้ำนมแม่มี DHAและAA มีการสร้างผลิตในร่างกายที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีและเพียงพอต่อทารก เพราะธรรมชาติรังสรรค์สิ่งที่มนุษย์ต้องการอย่างเหมาะสม นมแม่จึงดีที่สุด

และปัจจุบัน DHA และ AA ที่ได้จากนมผสมนั้นยังไม่มีผลวิจัยชิ้นใดที่รายงานว่าปริมาณที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด ต้องมีสัดส่วนอย่างไร จึงยังไม่มีการยืนยันว่าการเติมสารเหล่านี้ลงไปจะมีผลในการเสริมสร้างสมองจริงรวมทั้งในระยะยาวจะมีโทษหรือไม่ และที่สังเกตได้อย่างชัดเจนจากการตรวจสอบประสาทตาในเด็กทารก 4 เดือน ช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนถึง 7-8 ขวบปีแรกแต่ยังไม่มีหลักฐานใดชี้ว่า DHA และ AAในนมผสมมีผลคงทนเท่านมแม่ อย่างไรก็ตามการที่เด็กรับประทานนมผสมที่มีการเติม DHA และ AA ย่อมดีกว่าไม่เติมกลุ่มที่ไม่มีสารนี้เลย สำหรับกรณีข้อสงสัยว่า DHA และ AA มีส่วนในการพัฒนาสมองและสติปั­­า อย่างไร
ศ.เกียรติคุณ นพ.วีระพงษ์ ฉัตรานนท์ คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้แม่เข้าใจผิดในเรื่องการโฆษณาของนมผสมที่มีการเติมสารอาหาร DHA แล ะAA ว่าเป็นสารที่ช่วยในการพัฒนาสมองของทารก ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การพัฒนาสมองของเด็กที่สำคัญ­มาจากพันธุกรรมและน้ำนมของแม่ ส่วนสาร DHA และ AA มีส่วนช่วยพัฒนาสมองจริง แต่หากเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในอีกมากมายหลายปัจจัยที่ช่วยพัฒนาสมองคนทั้งทางตรงและทางอ้อมเท่านั้น

 “พัฒนาการของสมองเป็นผลการทำงานประสานกันระหว่างพันธุกรรมที่ได้จากพ่อแม่และสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดู ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองทั้งโดยตรงและอ้อม ที่จริงสารทั้งสองตัวมีอยู่แล้วในนมแม่ตามธรรมชาติแต่ไม่มีอยู่ในนมวัวเลยเพราะไม่จำเป็นสำหรับลูกวัว แต่สำหรับคนเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ผลิตนมผงจึงต้องมาหาวเพิ่ม DHA และ AA ที่เพิ่มในนมผงก็ไม่ได้มาจากนมแม่หรือนมสัตว์อื่น ต้องสกัดมาจากสาหร่ายเซลล์เดียว น้ำมันปลา ไข่แดงสกัด” นพ.วีระพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจาก DHA และ AA แล้ว นมแม่ยังมีสารที่สำคั­ญมากมายต่อการพัฒนาการของสมอง ที่เรียกว่า Nerve growth factor ซึ่งช่วยให้เซลล์สมองและประสาทพัฒนาได้สมบูรณ์ที่สุด สารนี้ไม่ได้ถูกพูดถึงเลยเพราะบริษัทนมยังหามาเพิ่มไม่ได้

 การที่แม่เข้าใจผิดและนำไปสู่การซื้อนมผสมมาให้ลูกกินนั้น ข้อเสียที่สำคั­ญคือ ทำให้เด็กไทยสูญ­เสียโอกาสในการกินนมแม่ และในบางรายได้ของแถมทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้อีกด้วยเนื่องจากการกระตุ้นของโปรตีนในนมวัว ส่วนผลโดยทางอ้อมที่เกิดจากน้ำนมแม่และจากตัวแม่เองที่อยู่กับลูกตลอดเวลา น้ำนมแม่มีสารป้องกันเชื้อโรค โรคติดเชื้อจึงเกิดได้ยากหรือหายเร็ว ทำให้การเจริ­เติบโตของร่างกายและสมองไม่หยุดชะงัก

ที่สำคัญ­มากเช่นกันคือ การที่ลูกได้สัมผัส ได้สื่อกับแม่และได้ดูดนมแม่ตั้งแต่แรกคลอดและในเวลาต่อ ๆ มา ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของลูก คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสถูกกระตุ้น ทำให้วงจรของสมองและประสาทที่เป็นหนทางเชื่อมการติดต่อระหว่างเซลล์สมองและเซลล์ประสาทที่ร่างกายได้เตรียมไว้เป็นล้าน ๆ วงจร ได้ทำงานครบวงจรซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นวงจรที่ถาวรและสมบูรณ์ วงจรเหล่านี้จะสมบูรณ์และถาวรจะต้องถูกกระตุ้นภายในระยะกำหนดเวลา และถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ กัน หากส่วนไหนไม่ได้ถูกกระตุ้นหรือกระตุ้นน้อย จะถูกร่างกายขจัดออกไป การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีแม่อยู่ใกล้ชิดลูก ยังสามารถปลูกฝังให้ลูกมี ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ความฉลาดทางศีลธรรม (MQ)ความฉลาดทางต่อสู้กับอุปสรรค (AQ) ฉะนั้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็คือการให้อนาคตแก่ลูก
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น