โอเมก้า3 คืออะไร ?
โอเมก้า3 คือ ไขมันประเภทที่มีความจำเป็นกับร่างกาย ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จะต้องอาศัยการรับประทานเข้าไป เท่านั้น โอเมก้า3 แบ่งออกเป็น 3 ชนิดขึ้นอยู่กับความยาวของไขมัน ยิ่งยาวมากก็ยิ่งมีประโยชน์กับร่างกาย เราจึงเรียกโอเมก้า3 ว่า กรดไขมันจำเป็น ไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
1.โอเมก้า 3 ชนิด ALA (α-linolenic acid) มีโครงสร้างทางเคมี ความยาว เท่ากับ 18
2. โอเมก้า 3 ชนิด EPA (Eicosapentaenic acid ) มีโครงสร้างทางเคมี ความยาว เท่ากับ 20
3.โอเมก้า 3 ชนิด DHA (Docosacexaenoic acid ) มีโครงสร้างทางเคมี ความยาว เท่ากับ 22
เราจะพบได้ในพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันจมูกข้าว ในงานวิจัยพบว่า ALA เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าสู่ร่างกายร่างกายจะสามารถเปลี่ยนเป็น DHA และ EPA ได้น้อยมาก จนถือว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้
จะพบมากในสัตว์ทะเล เช่น ปลา กุ้ง แมวน้ำ หอย สาหร่ายทะเลบางชนิด เป็นต้น สิ่งมีชีวิตในน้ำขนาดเล็ก จะกินพืชเป็นอาหาร จากนั้นร่างกายจะเปลี่ยนไขมันชนิด ALA เป็น EPA และ DHA ขึ้นอยู่กับแหล่งอาศัย ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณขั้วโลกซึ่ง มีอากาศหนาวเย็น จำเป็นจะต้องมีความสามารถในการเปลี่ยนไขมันชนิด ALA เป็น EPA และ DHA เพื่อป้องกันร่างกายจากสภาวะอากาศ ที่หนาวเย็นเป็นน้ำแข็ง
งานวิจัยทั่วโลกต่างยืนยันถึงความจำเป็นของการบริโภคน้ำมันปลา
ปัจจุบันเราจะพบว่านมผงของเด็กๆจะมีการเพิ่ม DHA เข้าไปในสินค้า แทบทุกยี่ห้อ และนี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สังคมไทยปัจจุบันยอมรับว่า DHA ช่วยพัฒนาการสมองเด็ก ให้ฉลาดขึ้น จากงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า ในสมองของมนุษย์มีไขมันประเภท DHA มากถึง 60% DHA จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทแต่และเซลล์ เข้าด้วยกัน เป็นเหมือนสะพานข้ามแม่น้ำ หากสะพานขาดการเดินทาง ก็ไม่ สามารถไปได้เช่นกัน ระบบสมองหากขาด DHA การส่งต่อข้อมูลก็จะหยุดชะงัก แต่ยังดีที่สมองถูกสร้างมาอย่างอัศจรรย์ เมื่อพบจุดที่ขาด มันก็จะมองหาเส้นทางใหม่ในการส่งต่อข้อมูล แต่หากจุดที่ขาดมีมากขึ้นเรื่อยก็เริ่มส่งผลต่อระบบหน่วยความจำ จึงพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนมาก เริ่มป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆ
การรับประทานโอเมก้า3 DHA เป็นประจำจึงช่วยให้ ระบบการเชื่อมต่อข้อมูลของเซลล์สมองมีประสิทธิภาพดี
โอเมก้า 3 DHA & EPA ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ปัจจุบันคลีนิคโรหัวใจจำนวนมาก แนะนำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจรับประทานน้ำมันปลาชนิด EPA&DHA และโคเอ็นไซม์คิวเท็น ควบคู่กับการรับประทานยาหมอ
สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา AHA(American Heart Association)
ให้คำรับรองว่า น้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเล สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติการโรคหัวใจวาย
หรือป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นขึ้นอีก
องค์การอาหารและยาของอเมริกา
ประกาศสนับสนุนการบริโภคไขมันโอเมก้า3 EPA&DHA
เพื่อลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
โอเมก้า3 DHA&EPA ช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด ช่วยให้ผนังหุ้มเซลล์มีความยืดหยุน ไม่เปราะแตกง่าย ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดดี อีกทั้งยังมีส่วนในการเพิ่มไขมันดี(HDL) และลดไขมันเลว(LDL)
โอเมก้า 3 DHA & EPA ช่วยลดการอักเสบของร่างกายร่างกายเกิดการอักเสบได้อย่างไร การเกิดการอักเสบขึ้นในร่างกายมีด้วยการหลายสาเหตุเช่น การได้รับอนุมูลอิสระปริมาณมากเกินกว่า ที่ร่างกายจะกำจัด การใช้งานอวัยวะนั้นๆมากเกินไปเช่น ข้อเข่า พบมากในนักกีฬา การรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิด สารอักเสบ เช่น การรับประทานน้ำมันจากพืชซึ่งมีโอเมก้า 6 มากเกินไป โอเมก้า6 ส่งให้ร่างกายสังเคราะห์สารอักเสบ จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโอเมก้า6 มากเกินความจำเป็น
โอเมก้า 6 : โอเมก้า3 = 4: 1 ปัจจุบันการรับประทานโอเมก้า 6 ต่อ โอเมก้า 3 อยู่ที่ 40:1 ผลการศึกษาของ Larsson, sc et al จากสถาบันวิจัย Karolinska สวีเดน พบว่า
โอเมก้า 3 DHA&EPA ช่วยระงับการเจริญเติบโต และแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม แต่พบว่า โอเมก้า 6 โดยเฉพาะกรด ARA มีส่วนกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตมากขึ้นผลการศึกษาของ Hardman W.E. และคณะวิจัย • พบว่า โอเมก้า 3 ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตช้าลง
• โอเมก้า 3 ลดอาการเนื่องจากพิษมะเร็ง จากผลข้างเคียงการใช้ยาคีโม
• พบว่า โอเมก้า 3 ช่วยรักษาอาการผอมแห้งรุนแรง เนื่องจากมะเร็งลุกลาม
Ref : British Journal of Cancer 2002